บริบูรณ์ อุทัยเวียนกุล สมัยก่อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 ยุค เมืองจังหวัดตรัง ตกลงใจโบกไม้โบกมือลาจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่ตนเองเป็นพวกมานับสิบปี
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 ยุคสม่ำเสมอตั้งแต่ปี 2544 แม้กระนั้นครั้งปัจจุบันรัฐธรรมนูญ 2560 เขตเลือกตั้งเมืองจังหวัดตรังลด จาก 3 เหลือ 4 เขาตกลงใจโยกตนเองไปลงบัญชีรายนาม
พรรคส่งลำดับที่ 35 อดเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้กระนั้น นายเชิญ หลีกภัย ให้ตำแหน่งมาช่วย ในฐานะ “ผู้ช่วยประธานรัฐสภาส.ส.” ปฏิบัติงานสนิทสนมจนกระทั่งวันนี้ก็ยังทำอยู่
โอกาสนี้มั่นหมายว่า จะกลับไปลงเขตเดิม ข้างหลังเขตเมืองจังหวัดตรังเอากลับคืนกลับมาเป็น 4 อย่างเดิม แต่ว่าที่สุดจำต้องฝันสลาย มีคู่ต่อสู้เสนอตัวเป็นผู้สมัครชนกัน ทำให้พรรคจำเป็นต้องตกลงใจทำโพลหาข้อสรุป
ปัจจุบัน แจ่มแจ้งไมได้ไปต่อ หลั่งน้ำตาทิ้งประชาธิปัตย์ ย้ายซบพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเอาสิทธิสมัครในเขตที่ตนเองหวัง
ที่สำคัญยังจะขอพิสูจน์ตนเองเพราะว่า “ถ้าเกิดส่งผมแล้วแพ้ลงคะแนน” อย่างที่พรรคบอกเหตุผลหรือเปล่า?
“ความเห็นชน” เปิดเผย “บริบูรณ์” เห็นด้วยตรงๆส่วนลึกในใจเศร้าใจมากมาย เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ให้กำเนิดตนเอง มีท่านนายกรัฐมนตรีเชิญ ท่านนายกธุระ หลีกภัย เปรียบได้เสมือนดั่งพ่อด้านการเมือง
“ก่อนที่จะคิดที่จะตัดสินใจลาออกไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ขอคำแนะนำคนแก่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านชักชวน โดยแจ้งให้แด่คุณทราบดีว่า ทางพรรคเขาได้ทำโพลและก็ประกาศว่าผมแพ้ เอาง่ายๆเป็น ไม่มีที่ยืน ก็เลยเรียนกับท่านเชิญชวนไปว่า จะขอลงสู้เพื่อเป็นผู้สมัครของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เมื่อทางพรรคส่งได้ผู้เดียว เมื่อทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งผม ก็จำเป็นจะต้องที่จำต้องไปพบพรรคการเมืองอื่นที่เขายินดีจะส่งเป็นผู้สมัคร”
เขาเล่าว่า ก่อนหน้านี้ข้างหลังจะกลับมามีออกเสียง 4 เขต ก็แสดงความจำนงว่าสมัครอวยพรรคประชาธิปัตย์ตลอด กลับได้รับแจ้งจากพรรคว่า สำหรับเพื่อการลงคะแนนที่จะถึงนี้ หากส่งตนลงไป บางทีก็อาจจะแพ้การเลือกตั้ง
“ผมยังไม่แน่ใจว่าพรรคใช้หลักอะไรว่า ส่งผมแล้วจะแพ้ลงคะแนนเสียง เพราะเหตุว่าถ้าหากมองตามคะแนนเดิม หนแรกปี 2544 ผมได้คะแนน 9,000 กว่าคะแนน เพียงพอปี 2548 ได้ 59,600 คะแนน เพียงพอครั้งที่ 3 เนื่องจากว่ามีการรวมเขต เขต 3,4 มารวมกันได้คะแนน 122,000 กว่าคะแนน ถ้าหากเฉลี่ยได้ราว 6 หมื่นกว่าคะแนน รวมทั้งปีครั้งที่ 4 ปี 2554 ได้คะแนน 74,387 คะแนน หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง เดินเข้าคูหา 100 คน ลงคะแนนให้ผม 90 กว่าคน ดังนั้นหากมีความคิดว่า ผมเป็นหลุมดำหรือลงเลือกตั้งแล้วแพ้ มองตามคะแนนแล้ว ผมยังเชื่อมั่นในคะแนนที่พ่อแม่พี่น้องประชาชนวางใจพวกเรา กว่า 74,387 คะแนนของผม ซึ่งจัดว่าเยอะแยะ”
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อนายบริบูรณ์รับรองจะลง ก็เลยเป็นที่มาอวยพรรคเลือกใช้กระบวนการทำโพลมาเป็นขั้นตอนการวินิจฉัย
บริบูรณ์เล่าว่า โดยหลักการจริงๆพรรคก็คงจะจำเป็นต้องใช้ระบบพิเคราะห์ระหว่างตัวเองกับผู้สมัครอีกคน แล้วมองกันว่าความสมควรควรเป็นใครกันแน่ เป็นพวกกันมามากน้อยแค่ไหน การเป็นพวกมันเป็นความซื่อสัตย์ภักดีต่อพรรค ตนเป็นพวกมาหลายสิบปีแล้ว พรรคจะต้องพิเคราะห์ว่าการลงคะแนนก่อนหน้าที่ผ่านมาคุณบริบูรณ์แพ้นะ โดยเหตุนี้คราวนี้ พวกเราจะต้องหาผู้สมัครใหม่ ถ้าหากยังตกลงใจมิได้เลียนแบบนี้มั๊ย พวกเรามาตรวจความคิดเห็นของคนภายในพรรคประชาธิปัตย์ในเขตเลือกตั้งและก็สมาชิก
ก็เลยได้แจ้งพรรคไปว่า ไม่เห็นพ้องกับกระบวนการทำโพล พรรคจะต้องมีแนวทางที่พินิจที่ชอบธรรมกว่ากรรมวิธีวินิจฉัยด้วยแนวทางการทำโพล ดังเช่น ถ้าเกิดทำโพลด้วยหลักวิชาการ ทำโพลอย่างแม่นยำ
“ผมเป็นนักกีฬา เมื่อผลที่เกิดจากการแข่งขันออกมาแล้วพวกเรายอมรับได้ แต่ว่าสำหรับในการทำโพลคราวนี้ มีเรื่องที่น่าสังเกตมากมาย ภายหลังที่ประกาศผล ได้ทำหนังสือถึงท่านหัวหน้าพรรคว่า ขอรู้เนื้อหาของแนวทางการทำโพล ตัวอย่างเช่น สถาบันที่ทำโพลเป็นที่แหน่งใด ตามข่าวสารแจ้งว่าเป็นมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ การออกแบบสอบถามซักถามเรื่องแบบสอบถามมันก็จำต้องถูกหลักตามวิชาการ เชื่อถือได้ ผู้กระทำระจายตามประชาชนของเขตที่ 4 ของชุมชน ตำบล เป็นยังไง ในที่สุดก็มิได้รับคำตอบ
“จากนั้นไปพบท่านเลขาธิการได้ให้ชื่อคุณครูที่ทำโพล และก็ได้ติดต่อไปยังคุณครูอีกทั้ง 3 ท่าน ที่ได้รับรายนามมา แล้วเดินทางไปยังหาดใหญ่ ไปถามว่า สำหรับในการทำโพลคราวนี้คุณครูมีเนื้อหาอย่างไรบ้าง ซึ่งผมได้ทำหนังสือไปยังหัวหน้าอีกฉบับหนึ่ง เรียนให้รู้ดีว่า ภายหลังที่ผมไปพบท่านคุณครูที่ทำโพลอีกทั้ง 3 ท่านแล้ว
สรุปว่า โพลที่ทำโพล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรังเขต 4 ไม่ใช่ มัธยมอำเภอเป็นผู้กระทำโพล เป็นเพียงแต่คุณครูของ มัธยมอำเภอเป็นนักวิชาการอิสระ ที่มารับจ้างทำโพล ด้วยค่าจ้าง 1 แสน 8 หมื่นบาท จากที่คุณครูได้แจ้งมาแค่นั้น”
“ถามคำถามว่า เมื่อทางมหาวิทยาลัยมิได้เป็นผู้กระทำโพล มิได้ยืนยันผลโพล คุณครูเป็นผู้รับผิดชอบถูกไหม ก็เลยถามถัดไปว่าวัตถุปรารถนาของแนวทางการทำโพลคราวนี้คุณครูรู้ไหมว่า ทำเอาไปวินิจฉัยว่าคนใดกันแน่เป็นผู้สมัคร ทางคุณครูแจ้งว่าไม่เคยทราบ เขามีความคิดว่าเอาไปประกอบกิจการพินิจพิเคราะห์ อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการพินิจพิเคราะห์หลายๆหลักเกณฑ์ แนวทางการทำโพลว่า จะเป็นหลักมาตรฐาน การออกแบบสำรวจมีหลายข้อ
“ถามต่ออีกว่า มีหลักเกณฑ์ยังไง เรื่องความน่าวางใจ ความถูกต้องของแบบสำรวจ มีการเสนอแนะหรือเปล่า ทางคุณครูตอบว่า แต่ละข้อมูลได้มาจากทางพรรค แม้กระนั้นที่จริงแล้วคุณครูจำเป็นต้องมาพินิจพิจารณาว่าข้อมูลนี้มีความชอบธรรมกับผู้สมัครไหม เมื่อซักถามผู้กระทำระจายแบบสำรวจไปยังมวลชนคุณครูให้คนใดกันแน่ลงไปตรวจ เขาแจ้งว่าให้โครงข่ายเยาวชนในจังหวัดตรัง แบบสำรวจ 6,300 ชุด คุณครูแบ่งสรรเช่นไร แบบสำรวจควรมีตราประทับ จะต้องรันนิ่งนัมเบอร์ที่จะออกไปตามอำเภอต่างๆเพื่อได้ 6,300 ชุด ทางคุณครูแจ้งว่าไม่ ให้ทำเลที่ตั้งย ไปทำสำเนาทั้งหมดทั้งปวงที่เหลือ ผมก็เลยเห็นว่านี่เป็นข้อคิดเห็น”
“ซึ่งผมไปพบการทำสำเนาที่ร้านค้าทำสำเนาที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลเป็นพันแผ่น เอกสารดังที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นตัวใช่หรือไม่ เขาพูดว่าเป็นแบบสำรวจจริง ก็เลยนำไปแจ้งเหตุว่าเอกสารดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วบางครั้งอาจจะเอามาเป็นการโกงสำหรับเพื่อการทำโพลก็ได้ ไปถามผู้ใดกันแน่ หรือมานั่งเขียนเอาเอง ซึ่งได้ถามคำถามว่าคุณครูได้ออกไปควบคุมหรือเปล่า ทางคุณครูปฎิเสธมิได้ออกไปควบคุม ด้วยเหตุว่าวางใจ
“ผมก็เลยคิดว่าวิธีการทำโพลไม่โปร่งใส เพราะว่าผมเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมา 4 ยุคย่อมมีคณะทำงาน เมื่อไปถามไถ่คนภายในพื้นที่ว่ามีคนใดได้ใบตรวจสอบบ้างหรือไม่ คำตอบที่ได้เป็นไม่มีผู้ใดได้ ก็หมายความว่า การสำรวจนี้ตรวจใช่หรือไม่ เป็นการทำเป็นโพยหรือเปล่า เมื่อผลออกมาแล้วผมก็มิได้คำตอบก็รอคอยว่า เขาพิเคราะห์ยังไง มันสิ่งที่เจ็บบางเรื่องพวกเรามิได้รับความชอบธรรม ผมเองรักพรรคประชาธิปัตย์มากมาย มาวันนี้พวกเราเองกลับมิได้รับความเที่ยงธรรมในหัวข้อนี้” นายบริบูรณ์ เล่าอย่างถี่ถ้วน
แต่ เมื่อจำเป็นที่จะต้องเห็นด้วยผล จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค มีคำแนะนำให้ไปลงบัญชีรายนาม
“ผมก็ขอบพระคุณท่านหัวหน้า แต่ว่าผมขอลงเขต เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ผมเองเคยเอื้อเฟื้อไปแล้วสำหรับการลงคะแนนครั้งที่ผ่านมา จังหวัดตรังเหลือ 3 เขต ในขณะที่เป็นสิทธิของผม ผมทำเพื่อพรรค ไม่อวยพรรคมีการทะเลาะเบาะแว้งแย่งกัน ด้วยเหตุว่าการบ้านการเมืองถ้าหากทำเพื่อผลตอบแทนของราษฎรจะมาแย่งกันเพราะเหตุใด พวกเราสามารถที่จะดำเนินงานถูกจุดไหนก็ได้ ก็เลยไปลงบัญชีรายนามลำดับที่ 35 เป็นที่รู้เป็นลำดับไม่ถึง ท่านเชิญก็เมตตาให้ไปเป็นเลขาประธานรัฐสภา ตนก็ปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยประธานรัฐสภาอย่างยอดเยี่ยม แล้ววันนี้ปฏิบัติงานอวยพรรคตัวเองก็ยังทำอยู่ ไม่ว่าจะพบวัววิด หรือ น้ำหลาก งานทำบุญ งานกุศลต่างๆ”
ส่วนมูลเหตุที่ตกลงใจร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น นายบริบูรณ์ ตอน ว่า ตนมองพรรคที่ควรจะมีแนวทางที่ทำเพื่อพ่อแม่พี่น้อง โดยยิ่งไปกว่านั้นเรื่องความเที่ยงธรรม ตนผ่านการบ้านการเมืองมา 20 กว่าปี มองเห็นแนวนโยบายของพรรคการเมืองไม่ให้ความยุติธรรมกับราษฎร ซึ่งจะมองเห็นข่าวสารในวันสองก่อนหน้าที่ผ่านมา ในหัวข้อการเลือกปฎิบัติของพรรคการเมืองในกรณีที่เป็นรัฐบาล พรรคนี้ไม่เลือกพวกเราไม่ปรับปรุง ก็เลยขอเลือกพรรคที่เห็นแก่ราษฎรให้ความยุติธรรมต่อสามัญชน
รวมทั้งส่วนตัวมองเห็นเมื่อแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เลยตกลงใจว่า จะไปขอร่วมกับด้วย
ย้อนอ่านข่าวสารที่เกี่ยวพัน
‘บริบูรณ์’ หลั่งน้ำตาทิ้งปชป. ซบรวมไทยสร้างชาติ ‘เชิญชวน’ ชูหูหา รับเห็นอกเห็นใจมากมาย
